top of page

กรรมฐาน

วัดร่ำเปิง(ตโปทาราม)

กรรมฐาน

อัปเดตเมื่อ 4 พ.ค. 2565

“กรรมฐาน” เป็นกระบวนการในการพัฒนาจิตใจ โดยเอาสิ่งที่เรามีอยู่ คือ กาย-ใจ เป็นที่ตั้งของสติ


ให้กรรมฐานโยคีผู้ปฏิบัติธรรม ณ ป่ายาง

การมาปฏิบัติธรรม เป็นการก้าวข้ามทุกข์ที่เกิดจากกิเลสจากการยึดมั่น ถือมั่น เราก็สามารถชนะกิเลสได้ เราก็จะทุกข์น้อยลง ก็เหลือแต่ทุกข์ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติซึ่งเป็นสัจธรรม เช่น นั่งนานก็ปวด เจ็บ เหน็บ ชา เป็นต้น ดังนั้นเรารู้ว่าปวด เราก็ต้องมีสติในการกำหนด “ปวดหนอ” ถ้าไม่ไหวเราอยากเปลี่ยนท่า ก็มีสติในการเปลี่ยนท่าพร้อมกำหนดว่า “อยากเปลี่ยนหนอ” “อยากขยับหนอ” “ขยับหนอ” เป็นต้น ด้วยความเพียร ความอดทน



พระกรรมฐาน

“พระกรรมฐาน” คือ ที่ตั้งแห่งการกระทำ เป็นวิธีการกระทำที่ดีก่อให้เกิดผลอันประเสริฐและผลดีต่อเรา


พระ แปลว่า ประเสริฐ

พระ แปลว่า “ประเสริฐ” คือ บุคคลที่ตั้งอยู่ในศีล ในธรรมก่อให้เกิดผลดีต่อเรา


“กรรมฐาน” เป็นกระบวนการในการพัฒนาจิตใจ โดยเอาสิ่งที่เรามีอยู่ คือ กาย-ใจ เป็นที่ตั้งของสติ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่า ของหายากมี ๔ อย่าง


๑.การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ยาก

ชีวิตมนุษย์ที่เกิดมาน้อยมากเมื่อเทียบกับสัตว์โลกอื่น ๆ เช่น สัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น เช่น ปลาในมหาสมุทรก็มีเยอแยะมากกมาย เป็นต้น เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นยาก เราจะต้องดูแลเอาใจใส่ตัวเอง และต้องทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นทั้งกับตนเอง ครอบครัว สังคม หน้าที่การงาน เป็นต้น คนหลาย ๆ คน อาจทำอะไรมากมายตามอาชีพของตนทั้งที่เป็นโทษ เช่น การเชือดหมู-เป็ด-ไก่ เป็นต้น หรือปลูกพืชผักโดยใช้ยาฆ่าแมลง หรืออาชีพที่ไม่เป็นโทษ เช่น ตัดเสื้อผ้า เป็นต้น แต่วันนี้เราโชคดีที่ได้มาปฏิบัติธรรม เพื่อให้เราได้อยู่กับตัวเอง โดยการฝึกสติ สมาธิ ความเพียร ปัญญา เพื่อละกิเลส ระงับกิเลส หรือดับกิเลส และเป็นการเพิ่มคุณค่าให้กับตัวเอง เพิ่มค่าของความเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นผู้มีจิตใจสูงด้วยการมีคุณธรรม มีศีล และมีธรรม


๒. การได้มีอายุยั่งยืนยาก

แสดงว่าเรามีอายุยืนซึ่งถือว่าเป็นการยาก บางคนเสียชีวิตตั้งแต่ยังอายุน้อย


๓. การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้ายาก

ในประวัติศาสตร์ที่มนุษย์ได้บันทึกไว้ มนุษย์เกิดมาเมื่อหลายหมื่นหลายแสนปียังไม่เคยพบพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นเมื่อ ๒,๖๐๙ ปีที่ผ่านมานี้เอง เมื่อครั้งเจ้าชายสิทธัตถะได้บรรลุธรรม และได้เข้าใจความจริงว่ามนุษย์เกิดมาแล้ว มีความแก่ คนเจ็บ คนตาย อะไรที่เป็นชีวิต อะไรที่อยู่ในวังวนของชีวิตก็เป็นทุกข์ เพราะต้องทำกิจกรรมตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงหลับนอนตลอด ๒๔ ชั่วโมงและหมุนเวียนไป ทั้งที่เป็นอัตโนมัติ เช่น การหายใจ การเต้นของหัวใจ เป็นต้น และสิ่งที่เราตั้งใจ เช่น อยากเดิน อยากลุก อยากทำนั้นอยากทำนี้ เกี่ยวกับธุรกิจการงาน เป็นต้น กระบวนการเหล่านี้เขาเรียกว่า “ทุกข์” ซึ่งจากปัจจัยที่เป็นกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดการขับเคลื่อน เช่น ความอยาก ความปรารถนา ความต้องการเพื่อให้เกิดความสำเร็จ ตัวอย่างถ้าต้องการอยากเรียนหนังสือก็ต้องเรียนให้จบ หรือถ้าต้องการมาปฏิบัติธรรมธรรมเพื่อให้เห็นทุกข์ และเพื่อความดีงามก็ต้องมานุ่งขาวห่มขาว กราบสติปัฏฐาน เดินจงกรม นั่งสมาธิ เจริญภาวนา ตั้งแต่ตีสี่จนถึงสามทุ่ม เป็นต้น


๔. การได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้ายาก

ธรรมชองพระพุทธเจ้า คือ อริยสัจ ๔ และสติปัฏฐาน ๔ อริยสัจ ๔ คือ ความคิดฟุ้งซ่าน เป็นเหตุให้ทุกข์เพราะไม่เห็นคุณค่าของชีวิตปัจจุบัน จากการไม่มีสมาธิ ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ไม่ว่าเราจะทำกิจกรรมอะไรก็ทุกข์ นั่งก็เป็นทุกข์ ทำวัตรก็เป็นทุกข์ ทำอย่างไงไม่ให้เกิดทุกข์ ก็ต้องตัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งในอดีตและในอดีตออกให้หมด ด้วยการฝึก โดยถ้าเรารู้สึกตัวว่าเราคิดฟุ้งซ่านให้เราสังเกตว่าคิดฟุ้งซ่านเรื่องอะไร คิดเรื่องอนาคตหรือคิดเรื่องอดีต และคิดด้วยกำลังของความโลภ ความโกรธ ความหลง ความฟุ้ง ความอิจฉาริษยา เป็นต้น


และที่คิดนั้นคิดด้วยกำลังของอะไร ด้วยความอิจฉา หรือความโกรธ หรือความหลง หรือความฟุ้งซ่าน ด้วยความไม่รู้ว่าทำไมต้องคิด เราต้องฝึกให้เรารู้จักคุณค่าของชีวิตที่เป็นปัจจุบัน เช่น ปัจจุบันขณะนี้เราได้กลิ่น เราก็กำหนด

“กลิ่นหนอ” กลิ่นอย่างนี้เราชอบหนอ หรือไม่ชอบหนอ หรือพอใจหนอ เราก็กำหนดว่า “ชอบหนอ” “ไม่ชอบหนอ”

“พอใจหนอ” ถ้ากลิ่นเป็นเหตุให้เกิดความชอบ ผลก็คือ อยากกิน เป็นต้น จะเห็นว่ามีเหตุก็มีผล มีผลก็มาจากเหตุ นี่คือทุกข์ๆ สุข ๆ เขาเรียกว่า “สุขเพราะกิเลส” หรือ “ทุกข์เพราะกิเลส” หรือ “ทุกข์เพราะอริยะบท” หรือ “สุขเพราะได้อารมณ์ดั่งใจ” หรือ “สุขเพราะเราสามารถอดทนได้” หรือ “สุขเพราะก้าวข้ามมันได้”



“ทุกข์” คือ กิเลสที่เกิดจากกายและใจ

“สมุทัย” คือ ทุกข์ที่เกิดจากกิเลส ทีทำให้เกิดโทษ คือ มีความโลภ โกรธ หลง ฟุ้งซ่าน รำคาญ สงสัย (ไม่ใช่ทุกข์ที่เกิดจากธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว เช่น นั่งนานก็ต้องปวด กินแล้วก็ต้องถ่าย เกิดแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เป็นต้น)

“นิโรธ” คือ การดับกิเลสจากการมีสติสัมปชัญญะ และความเพียร

“มรรค” คือ เหตุที่ก่อให้เกิดความดีงาม จากสติที่เกิดจากอริยะบทใหญ่ เช่น การเดิน ยืน นั่ง นอน ก้ม เงย คู้ เหยียด หรืออริยะบทย่อยจากการสัมผัสอารมณ์ทางกาย หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สามารถยับยั้งชั่งใจได้จากความอดทน ความเพียร



การมาปฏิบัติธรรม เป็นการก้าวข้ามทุกข์ที่เกิดจากกิเลสจากการยึดมั่น ถือมั่น เราก็สามารถชนะกิเลสได้ เราก็จะทุกข์น้อยลง ก็เหลือแต่ทุกข์ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติซึ่งเป็นสัจธรรม เช่น นั่งนานก็ปวด เจ็บ เหน็บ ชา เป็นต้น ดังนั้นเรารู้ว่าปวดเรา เราก็ต้องมีสติในการกำหนด “ปวดหนอ” เป็นต้น ถ้าไม่ไหวเราอยากเปลี่ยนท่า ก็มีสติในการเปลี่ยนท่าพร้อมกำหนดว่า “อยากเปลี่ยนหนอ” “อยากขยับหนอ” “ขยับหนอ” เป็นต้น ด้วยความเพียร ความอดทน

พระกรรมฐาน แปลว่า วิธีการฝึก


กรรมะ แปลว่า การกระทำ

ฐานะ แปลว่า ที่ตั้ง

พระกรรมฐาน คือ ที่ตั้งแห่งการกระทำ เป็นวิธีการกระทำที่ดีก่อให้เกิดผลอันประเสริฐและผลดีต่อเรา หรือบุคคลที่ตั้งอยู่ในศีล ในธรรม เราจึงเรียกว่า พระ แปลว่า สิ่งประเสริฐ วิธีการการกระทำที่ดีก่อให้เกิดผลดีต่อเรา ไม่มีโทษต่อเรา เราจึงเรียกว่า พระ แปลว่า สิ่งประเสริฐ


“กรรมฐาน” คือ ตัวเรา หรือ กาย-ใจ

ทำไมเราเอาตัวเรา หรือ กายและใจเป็น “กรรมฐาน” หรือเป็น “พระธรรม” ?

เพราะ เรามีลมหายใจ เราหายใจตั้งแต่เกิดแต่เป็นการหายใจเพื่อเลี้ยงกาย แต่ถ้าเราอาศัยการพองยุบ และมีสติในการหายใจ หายใจเข้า-พอง หายใจออก-ยุบ พร้อมกำหนด “พองหนอ” “ยุบหนอ” การหายใจนั้นก็เป็น “กรรมฐาน” เมื่อมีสติอยู่กับลมหายใจ สมาธิก็เกิด สมาธิที่เกิดกับลมหายใจทุกขณะอย่างต่อเนื่อง เราเรียกว่า “ขณิกสมาธิ” ถ้าเกิดสมาธิเกิดอย่างต่อเนื่องก็ “สงบ” มากขึ้น


อุปมาเหมือนเส้นด้ายเส้นเดียว ไม่เรียกว่า ผ้า

ถ้าเอาเส้นด้ายหลายเส้นมาทอรวมกัน เรียกว่า ผ้า

ถ้าเอาผ้ามาเย็บเป็นรูปร่าง เรียกว่า “เสื้อผ้า” และเรียกชื่อแตกต่างกัน เช่น สบง จีวร เสื้อ ผ้าถุง สไบ เป็นต้น

อากาศอยู่ทั่วไปรอบกาย เราเรียกว่า “อากาศ”

อากาศที่สูดเข้าไปในปอดเรา เรียกว่า “ลมหายใจ” ดังนั้นคนตายหายใจไม่ได้

อากาศที่สูดเข้าไปในปอด และรู้ลมหายใจเข้าออกอย่างมีสติ เอามาให้เกิดบุญ เป็นกรรมฐาน เรียกว่า “อาณาปานสติ”

การหายใจอย่างมีสติขณะใด มันก็เป็นกรรมฐานขณะนั้น

เช่นเดียวกัน ทุกคนเกิดมามีเท้าเดินเป็น แต่ถ้าเราเดินให้ได้บุญ คือการเดินอย่างมีสติ ขวาย่าง-รู้ว่าขาขวาย่าง ซ้ายย่าง-รู้ว่าขาซ้ายย่าง อย่างมีสติ และกำหนดรู้ว่า “ขวาย่างหนอ” “ซ้ายย่างหนอ” การเดินนั้นจึงเป็น “กรรมฐาน” เราจึงเรียกว่า “เดินจงกรม”




ตัวเรา หรือ กาย-ใจ จะเป็น “กรรมฐาน” ก็ต่อเมื่อเราฝึกจิตให้เป็นบุญ โดยมีสติอย่างใส่ใจกับการเดิน-นั่ง–ยืน–นอน-หายใจเข้าออก และกิจกรรมน้อยใหญ่ตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงหลับนอน ฉะนั้นการจะได้บุญมากหรือน้อยอยู่ที่การใส่ใจของเรา


วิปัสสนากรรมฐาน ตามแนวสติปัฏฐาน มี ๔ อย่าง.


๑. กาย เราเอากายมาเป็นที่ตั้งของการเจริญสติ

(๑) กาย และอาการของกายทั้งหมด เป็น ทุกข์

(๒) สติ ที่กำหนดกาย (ที่เป็นทุกข์) เป็นมรรค

(๓) สมาธิ ความเพียรที่เกิดขึ้น เป็นมรรค

(๔) การหลงสติ หรือกิเลสเกิด เป็น สมุทัย

(๕) ดับทุกข์จากกิเลส หรือดับทุกข์จากอุปาทาน คือมรรคเจริญขึ้น เป็น นิโรธ

เราหายใจ เราเจ็บปวด เราเห็น เราได้ยินถ้าไม่เกิดกิเลสขณะใดเราก็ดับทุกข์ได้ขณะนั้น ฉะนั้นเวลาเรามีสติกำหนด เราต้องกำหนดให้ละเอียด “พลิกหนอ พลิกหนอ” “ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ” เป็นต้น เวลามีสติกำหนดอย่างนี้เราก็ได้บุญ ได้ความดี คือได้เจริญมรรคนั่นเอง


๒. เวทนา คือ ความรู้สึกปวด เจ็บ เหน็บ ชา สุข ทุกข์ ดีใจ เสียใจ ถ้าเกิดเวทนาถ้ามีสติกำหนด


๓. จิต คือ ความคิดที่เกิดจากอุปาทาน คือความยึดมั่น ถือมั่น อยากเป็นนั้น อยากเป็นนี้ อยากได้นั้น อยากได้นี้ ต้องการสิ่งนั้น เป็นต้น ถ้าไม่ได้ดั่งใจก็ทุกข์ ถ้าเราตัดความคิดที่เป็นอนาคต และความคิดที่เป็นอนาคตได้ มันก็เป็นปัจจัยไม่ให้เกิดกิเลส หรือเป็นปัจจัยไม่ให้เกิดทุกข์


๔.ธรรม ถ้าเราบริหารตา หู จมูก ลิ้น กาย ดีด้วยการมีสติมันก็เป็นบุญ แต่ถ้าเราไม่สมควรระวังมันก็ก่อให้เกิดกิเลส ที่เราเรียกว่า “สภาพธรรม หรือธรรมชาติ” เช่น ถ้าเรามีหูและเราไม่ได้ยินมันก็ผิดธรรมชาติ มีตาไม่เห็นก็ผิดธรรมชาติ เป็นต้น

การปฏิบัติธรรม เราเอากายและใจที่มีอยู่แล้วให้เกิดสติ สมาธิ เราก็จะได้บุญภาวนาทันที “กินน้อย นอนน้อย กินน้อย ปฏิบัติให้มาก” ทำให้ต่อเนื่องอยู่กับปัจจุบัน ตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงหลับนอน ถ้าเราใส่ใจ จัดการชีวิตที่ดี เราก็สามารถสร้างบุญภาวนาได้มาก


 
 
 

Commentaires


logo.png

วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) เลขที่ 1 หมู่ 5 ต. สุเทพ

อ. เมือง จ. เชียงใหม่ 50200

เวลาทำการของสำนักงาน  เวลา 7:00 น.-17:00 น.

เมนูหลัก

หน้าแรก

รู้จักเรา

วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม)

กิจกรรมประจำปี

วิปัสสนากรรมฐาน

Vipassana Course

เมนูหลัก

ภารกิจของคณะสงฆ์ 6 ด้าน

ระเบียบการเข้าปฏิบัติธรรม

ห้องธรรมะครูบาอาจารย์

โรงเรียนพระปริยัติธรรม

ติดต่อ สอบถาม ร่วมบุญ

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง

ติดต่อ / ลงทะเบียน เข้าปฏิบัติธรรม
สำนักงานแม่ชี (ปฏิบัติธรรมหญิง)

หรือที่สำนักงานสงฆ์ (ปฏิบัติธรรมชาย)

เวลา 7:00 -8:00 น.  ทุกวัน ยกเว้นวันพระ

พิธีรับพระกรรมฐาน และรับศีล 8

เวลา 8:00 น. ของทุกวัน ยกเว้นวันพระ

พิธีลาศีล 8 (กลับบ้าน) และรับศีล 5

เวลา 6:00 น. (หลังทำวัตรเช้า) ของทุกวัน

ติดต่อโทร.

สำนักงานแม่ชี  062-216 8339  

สำนักงานสงฆ์  062 263 7723

สำนักงานฝ่ายต่างประเทศ 082 1857 701

Worldwideweb-128px.png
Email-128px.png

แผนที่ภายใน วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) 

map.jpg

การเดินทาง

©2022 by วัดร่ำเปิง ตโปทาราม. All Right Reserved.

  • Facebook
  • Instagram
  • YouTube
bottom of page